วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน substr_count()

ใช้ในการนับคำที่ปรากฏในสตริง

รูปแบบ

echo substr_count("สตริง", "คำที่ต้องการนับ");

ตัวอย่าง

echo substr_count("The girl is mine. This is it", "is");
// 2

ฟังก์ชัน ucwords()

ใช้ในการแปลงค่าของตัวอักษรตัวแรกของคำในสตริงให้เป็นตัวใหญ่

รูปแบบ

ucwords(สตริง)

ตัวอย่าง

echo ucwords("pizza panda");
// Pizza Panda

ฟังก์ชัน wordwrap()

ใช้ในการขึ้นบรรทัดสตริงใหม่โดยตัดสตริงจากค่าความยาวที่กำหนดไว้ ถ้าเกินความยาวที่กำหนดแต่ยังไม่จบคำจะไม่ตัดคำ แต่จะแสดงทั้งคำๆนั้นเลย

รูปแบบ

wordwrap(สตริง, ความยาวต่อบรรทัด)

ตัวอย่าง

$str = "My name is Pizza";
echo wordwrap($str, 2);
/*
My
name
is
Pizza
*/

ฟังก์ชัน array_push()

ใช้ในการเพิ่มค่าต่อท้ายลงในอาร์เรย์

รูปแบบ

array_push(อาร์เรย์ที่ต้องการเพิ่มค่า, ค่าที่่1, ค่าที่2);

ตัวอย่าง

$ืname = array("pizza", "panda");
array_push($name,"beer","su");

// $name = pizza panda beer su

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน number_format()

ใช้ในการแปลงข้อความเป็นชนิดรูปแบบตัวเลขหลักร้อย

รูปแบบ

number_format(ค่าตัวเลขที่จะแปลง)

ตัวอย่าง 


$number = 1234;
echo number_format($number)
// 1,234
 

ฟังก์ชัน pi()

ใช้ในการหาค่าคงที่ของ pi

รูปแบบ

pi()

ตัวอย่าง

echo pi();
// 3.1415926535898 

ฟังก์ชัน mt_rand()

ใช้ในการสุ่มตัวเลขแบบ 2 พารามิเตอร์

รูปแบบ

mt_rand(ค่าเลขสุ่มเริ่มต้น,ค่าเลขสุ่มถึง)

ตัวอย่าง


echo mt_rand(1, 10);
// 9
echo mt_rand(20, 30);
// 30
echo mt_rand(40, 50);
// 45
 

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน getrandmax()

ใช้หาค่าสูงสุดที่ได้จากการสุ่มตัวเลข

 รูปแบบ

getrandmax()

ตัวอย่าง

echo getrandmax();
// 26457 

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน chop()

ใช้ในการตัดช่องว่างท้ายข้อความออกไป


รูปแบบ


chop(สตริง)


ตัวอย่าง


echo chop(" My Name is Pizza ");
//" My Name is Pizza"

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน ord()


ใช้ในการแปลงตัวอักษรเป็นรหัส  ASCII
รูปแบบ
ord(สตริง)
ตัวอย่าง
echo ord("a");
// 97
echo ord("b");
// 98
echo ord("c");
// 99
echo ord("d");
// 100
echo ord("e");
// 101

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน sha1()

ใช้ในการเข้ารหัส 40 หลัก

รูปแบบ

sha1(สตริง)

ตัวอย่าง

$email = 'pizza@hotmail.com';
$password  = '1234';
echo sha1($email.$password);
// fb993fd7c8aa82f1da1389891823f63cdb4db8ba

ฟังก์ชัน strpos()

ใช้ในการหาตำแหน่งอักษรที่ต้องการค้นหา

รูปแบบ

strpos(สตริง,ข้อความที่ต้องการหา)

ตัวอย่าง


echo strpos('pizzapanda', 'i');
// 1

ฟังก์ชัน min()

ใช้ในการหาค่าที่น้อยที่สุดในอาร์เรย์

รูปแบบ

min(อาร์เรย์)

ตัวอย่าง 


echo min(9, 3, 10, 6, 7);
// 3

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน sin()

ใช้ในการหาค่าของ sine

รูปแบบ

sin(ค่าที่ต้องการหาค่า)

ตัวอย่าง

echo sin(60)
// -0.304810621102 

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน isset()

ใช้ในการตรวจสอบว่าตัวแปรมีการประกาศค่าตัวแปรหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นค่าว่างก็ตาม

รูปแบบ

isset($ตัวแปร);

ตัวอย่าง


$str1 = '';
$str2 = 'pizza';

if(isset($str1))
{
  echo 'Have var';
}
else
{
  echo 'No var';
}
// Have var


if(isset($str2))
{
  echo 'Have var';
}
else
{
  echo 'No var';
}

// Have var

if(isset($str3))
{
  echo 'Have var';
}
else
{
  echo 'No var';
}

// No var

ฟังก์ชัน empty()

ใช้ในการตรวจสอบว่าตัวแปรมีค่าหรือไม่ โดยจะ return ค่าเป็น true เมื่อตัวแปรดังกล่าวมีค่า และ return ค่าเป็นfalse เมื่อตัวแปรดังกล่าวไม่มีค่า


รูปแบบ


empty($ตัวแปร);

ตัวอย่าง

$str = 'pizza';
$str2 = '';

if(empty($str))
{
  echo 'Have value';
}
else
{
  echo 'No value';
}
// Have value


if(empty($str2))
{
  echo 'Have value';
}
else
{
  echo 'No value';

}
// No value

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน pow()

ใช้ในการหาค่าเลขยกกำลัง


รูปแบบ


pow(ตัวเลขฐาน,ตัวเลขยกกำลัง)

ตัวอย่าง

echo pow(2, 8);
//256

echo pow(2, 2);
//4

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน max()

ใช้สำหรับหาค่าสูงสุดในอาร์เรย์

รูปแบบ

max(อาร์เรย์)

ตัวอย่าง



echo max(4, 5, 6, 7); 
// 7
echo max(array(2, 4, 5))
// 5
echo max(7, 'pizza');      
//7

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน substr()

ตัดตำแหน่งตัวอักษรที่ต้องการ

รูปแบบ

substr(สตริง,ตัวเลขเริ่มต้น,ตัวเลขจำนวนอักษร)

ตัวอย่าง



echo substr("pizza", -1);     
// a
echo substr("pizza", -2);    
// za
echo substr("pizza", -3, 1)
// z

ฟังก์ชัน strstr()

ใช้ในการตัดข้อความบางส่วนตั้งแต่ตัวแรกที่กำหนดในการเริ่มตัดข้อความจนถึงตัวสุดท้ายของสตริง

รูปแบบ

strstr(สตริง,ตัวที่เริ่มตัดข้อความ)

ตัวอย่าง



$str  = 'pizza@panda';
$newStr = strstr($str, '@');
echo $newStr
 // @panda

ฟังก์ชัน chop()

ตัดช่องว่างท้ายข้อความออกไป


รูปแบบ


chop(สตริง)

ตัวอย่าง

$str = " My Name is Pizza ";
$newStr =  chop($str);

echo $newStr;
// $newStr จะเท่ากับ " My Name is Pizza"

ฟังก์ชัน join()

ใช้รวมอาร์เรย์ให้เป็นข้อความ

รูปแบบ

join(สตริง,อาร์เรย์)

ตัวอย่าง


$array = array('cat', 'dog', 'fish');
$str = join(",", $array);
echo $str;  
// cat,dog,fish

ฟังก์ชัน strrev()

เป็นฟังก์ชันที่ใช้กลับลำดับของตัวอักษรในสตริง

รูปแบบ

strrev(สตริง)

ตัวอย่าง

echo strrev("pizza");  
// azzip

ฟังก์ชัน addslashes()

ใช้เพิ่มเครื่องหมาย backslash (\) ให้กับ
double quote (”) , single quote (’) และ backslash (\)

รูปแบบ

addslashes(สตริง)

ตัวอย่าง

$str= "I'm pizza "
$newStr = addslashes($str);
echo $newStr;
//  I/'m pizza

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน ucfirst ()

ใช้แปลงตัวอักษรตัวแรกสุดของข้อความให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่

รูปแบบ

ucfirst(สตริง);

ตัวอย่าง

echo ucfirst("pizza");
// Pizza 

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน nl2br()

ใช้แทนที่ \n ด้วย <br /> ใช้ในการขึ้นบรรทัดใหม่

รูปแบบ

nl2br(สตริง)

ตัวอย่าง
echo nl2br("pizza\n panda");
// pizza
   panda

ฟังก์ชัน strtolower()

ใช้แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด

รูปแบบ
strtolower(สตริงที่ต้องการแปลงให้เป็นตัวเล็ก)

ตัวอย่าง

$str = "I'M PIZZA";
$str = strtolower($str);
echo $str
// i'm pizza

ฟังก์ชัน strtoupper()

ใช้แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด

รูปแบบ

strtoupper(สตริงที่ต้องการแปลงให้เป็นตัวใหญ่)

ตัวอย่าง


$str = "i'm pizza";
$str = strtoupper($str);
echo $str;

// I"M PIZZA

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน str_replace()

ใช้เปลี่ยนสตริงที่ค้นให้เป็นสตริงที่เราต้องการแทนที่ 

รูปแบบ

str_replace(สตริงที่ค้นหา, สตริงที่ต้องการแทนที่คำที่ค้นหา, สตริงต้นฉบับ)

ตัวอย่าง

$str = "pinyadapizza";
echo str_replace("pizza","panda",$str);    




//ผลลัพธ์จะเท่ากับ pinyadapanda


วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน trim()

ใช้ในการตัดช่องว่างให้กับสตริง

ตัวอย่าง

$str1 = " pizza        ";
$str2 = trim($str1);


$str2 จะมีค่าเท่ากับ $str1 แต่ str2 จะตัดช่องว่างออก คือ $str2 ="pizza";

ฟังก์ชัน round()

ใช้ในการปัดเศษทศนิยมโดยปัดเศษใหเใกล้เคียงกับเลขจำนวนเต็มที่สุด ถ้าทศนิยมเท่ากับ 0.5 ขึ้นไปจะถูกปัดขึ้น ถ้าน้อยกว่า 0.5 จะถูกปัดลง

ตัวอย่าง

echo round(2.7);
// 3

echo round(2.1);
// 2

echo round(2.000001);
// 2

ฟังก์ชัน ceil()

ใช้ในการปัดเศษเลขทศนิยมขึ้นโดยไม่สนใจว่าเลขจะใกล่เคียงกับตัวเลขใดมากที่สุด

ตัวอย่าง

echo ceil(2.777);

// 3

echo ceil(2.011);
// 3

echo ceil(2.999);
// 2

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน floor()

ใช้ปัดเศษทศนิยมทิ้งโดยไม่คำนึงว่า เศษทศนิยมจะเกิน 0.5 หรือไม่

รูปแบบ

floor(ตัวเลขแบบทศนิยมที่ต้องการปัดเศษทิ้ง)

ตัวอย่าง

$number1 = 27.876;
$number2 = 27.023;
print floor($number1);

// 27
print floor($number2);
// 27

หรือจะใส่ตัวเลขไปตรงๆเลยก็ได้ เช่น

echo floor(7.777);
// 7

ฟังก์ชัน strlen()

ใช้หาค่าความยาวของสตริง
        
รูปแบบ

strlen(สตริงที่ต้องการหาค่าความยาว)

ตัวอย่าง 

$str = 'pizza';
echo strlen($str);
// 5

$str = ' ab cd ';
echo strlen($str); 
// 7

ฟังก์ชัน implode()

ใช้นำข้อมูลในอาร์เรย์มาประกอบรวมกันเป็นสตริง

รูปแบบ

implode(สัญลักษณ์ที่ใช้แบ่ง, อาร์เรย์)

ตัวอย่าง

$array = array('cat', 'dog', 'bat');
$str =  implode(",", $array);
echo $str;    
//  cat,dog,bat

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน array_sum()

 ใช้ในการหาค่าผลรวมของสมาชิกทุกตัวในอาร์เรย์

รูปแบบ

$sum = array_sum(อาร์เรย์ที่ต้องการหาค่าผลรวม);

ตัวอย่าง

$num = array(1, 2, 3, 4, 5);
$sum = array_sum($num);
echo $sum;

// $sum = 1+2+3+4+5 = 15

ในกรณีที่อาร์เรย์มีสตริงรวมอยู่ด้วย แต่สตริงเป็นตัวเลข เช่น

$str = array(1, 2, '3', '4', '5');
$sum = array_sum($str);
echo $sum;

//$sum = 15 เนื่องจากสตริงที่เป็นตัวเลขจะสามารถถูกนำมาคำนวณด้วย 1+2+3+4+5

ในกรณีที่อาร์เรย์มีสตริงรวมอยู่ด้วยโดยที่สตริงมีทั้งสตริงและตัวเลข

$str = array(1, '2, '3', '4cat', 'dog5');
$sum = array_sum($str);
echo $sum;

//$sum = 10 เนื่องจากเฉพาะตัวเลขที่อยู่หน้าสตริงที่จะสามารถนำมาคำนวณได้

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน move_uploaded_file()

move_uploaded_file(ไฟล์ที่จะย้าย, ปลายทางที่เก็บไฟล์)

การอัพโหลดไฟล์ต้องวางอินพุตอัพโหลดไฟล์ดังนี้

<form>
     <input type="file" name="image" id="image" />
     <input id="submit" name="sunmit" type="submit" value="submit"/>
 </form>

ตัวแปร $_FILE

- เป็นตัวแปรชนิดอาร์เรย์แบบ Key/Value ใช้ในการจัดการข้อมูลที่ถูกโหลดมาในเซิร์ฟเวอร์ ได้แก่

  $_FILE['image']['type']    แทนชนิดของไฟล์ที่อัพโหลด เช่น .jpg
  $_FILE['image']['size']    แทนขนาดของไฟล์
  $_FILE['image']['tmp_name']   แทนตำแหน่งไดเรกทอรีที่เก็บไฟล์ไว้ชั่วคราว
  $_FILE['image']['name']    แทนชื่อไฟล์ที่อัพโหลด
  $_FILE['image']['error']    แทนข้อมูลที่ผิดพลาดจากการอัพโหลด โดยมีการคืนค่าดังนี้
                                         คืนค่า 0 แสดงว่าไม่มีข้อผิดพลาด
                                         คืนค่า 1 ไฟล์ที่อัพโหลดมีขนาดเกินกว่าค่าที่กำหนดใน php.ini  ปกติ2 MB
                                         คืนค่า 2 ไฟล์มีขนาดเกินค่าที่กำหนดใน MAX_FILE_SIZE ของฟอร์ม
                                         คืนค่า 3 ข้อผิดพลาดในการสื่อสารทำให้อัพโหลดไฟล์ไม่ได้
                                         คืนค่า 4 ไม่มีไฟล์
//image คือ ชื่ออินพุตของไฟล์ในฟอร์มที่ใช้อัพโหลด

move_uploaded_file() ใช้ในการเคลื่อนย้ายไฟล์จากไดเรกทอรี่ชั่วคราวไปยังตำแหน่งใหม่ซึ่งเราจะใช้ $_FILE['image']['tmp_name'] ในการอ้างถึงไดเรกทอรี่ชั่วคราว

ส่วนตำแหน่งไดเรกทอรี่ปลายทางถ้าต้องการใช้ชื่อเดิมจะใช้
$_FILE['image']['name']

ถ้าต้องการย้ายไปไดเรกทอรี่อื่นจะใช้

$fileName = mktime(date('H'), date('i'), date('s'),date('m'), date('d'), date('Y')).'.jpg'; 
//ตั้งชื่อให้กับภาพเพื่อจัดเก็บลงในฐานข้อมูล
 move_uploaded_file($_FILE['image']['tmp_name'], '../image/news/'.$fileName);


วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน array_key_exists()

 array_key_exists(key ที่ต้องการค้นหา, array ที่ต้องการค้นหา key)

- ใช้ในการตรวจสอบว่าอาร์เรย์มี key ที่ระบุหรือไม่
- ถ้ามี key ที่ระบุฟังก์ชันจะคือนค่าเป็น true แต่ถ้าไม่มีฟังก์ชันจะคือนค่าเป็น false
- ค่า key ที่ระบุจะต้องมีรูปแบบตัวใหญ่และตัวเล็กที่เหมือนกัน เช่น

  $a = array('name' => 'pizza');
  $b = array_key_exists('Name', $a);
          คืนค่าเป็น false
  $c = array_key_exists('name');
          คืนค่าเป็น true

ตัวอย่าง
File : student.inc.php
<?php
    $student = array(0=>array('name'=>'นางสาวหนึ่ง',
                          'surname'=>'หนึ่ง',
                          'phone'=>'0987667788',
                          'province'=>'กรุงเทพฯ',
                          'pet'=>array('pet1'=>'ปลาทอง',
                                       'pet2'=>'นกแก้ว'),
                          'sex'=>'หญิง'),
                 1=>array('name'=>'นายสอง',
                          'surname'=>'สอง',
                          'phone'=>'0987660088',
                          'province'=>'เชียงใหม่',
                          'pet'=>array('pet1'=>'แมว',
                                       'pet2'=>'สุนัข',
                                       'pet3'=>'ปลาทอง'),
                          'sex'=>'ชาย'),
                 2=>array('name'=>'นายสาม',
                          'surname'=>'สาม',
                          'phone'=>'0987699988',
                          'province'=>'กรุงเทพฯ',
                          'pet'=>'แมว',
                          'sex'=>'ชาย'),
                 3=>array('name'=>'นางสาวสี่',
                          'surname'=>'สี่',
                          'phone'=>'0987699988',
                          'province'=>'กรุงเทพฯ',
                          'sex'=>'หญิง'),
                 4=>array('name'=>'นายห้า',
                          'surname'=>'ห้า',
                          'phone'=>'0987598388',
                          'province'=>'ชัยนาท',
                          'sex'=>'ชาย'));

?>


File : studentPet.php
<?php
include('student.inc.php');
foreach($student as $key=>$value){
    if(array_key_exists('pet',$value)){         //ตรวจสอบให้แสดงแต่นักเรียนที่มีสัตว์เลี้ยง
        if($value['sex'] == 'หญิง'){
            echo "<div id='female'>";         //กำหนดสไตส์ใน css
            }
        else{
            echo "<div id='male'>";          //กำหนดสไตส์ใน css
        }
        echo "id : $key <br \>";
        foreach($value as $key2=>$value2){
            echo "$key2 : ";
            if(is_array($value2)){
                foreach($value2 as $pet=>$i){
                    echo "$i ";
                }
            echo "<br \>";
            }
            else{
                echo "$value2 <br \>";
            }
        }
        echo "</div>";
        echo "<br \>";
    }
}
?>

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฟังก์ชัน date()


date(รูปแบบวันเวลา)

รูปแบบวันเวลา 

วัน
d  แทนวันที่เป็นเลขสองหลัก เช่น 03
j  แทนวันที่ไม่มี 0 นำหน้า เช่น 1
D แทนวันแบบอักษร เช่น Mon
l แทนวันแบบอักษรเต็ม เช่น Monday
S แทนอักษรย่อลำดับที่ของเดือน เช่น st, nd, td, th
w แทนลำดับวันในสัปดาห์ 0-6
z แทนลำดับวันในปี 0-365

เดือน
m แทนเดือนเป็นเลขสองหลัก เช่น 01
n แทนเดือนเป็นเลขแบบไม่มี 0 นำหน้า เช่น 1
M แทนชื่อเดือนแบบย่อ เช่น Jan
F  แทนชื่อเดือนแบบเต็ม เช่น January
t แทนจำนวนวันของเดือน เช่น ถ้าเป็นเดือนมีนาคมจะได้ผลลัพธ์ 31

ปี
Y แทน ค.ศ แบบเลขสี่หลัก เช่น 1990
y แทน ค.ศ แบบเลขสองหลัก เช่น 90
L ถ้าเป็น Leap Year จะคืนค่า 1 ไม่ใช่จะคืนค่า 0

เวลา
h แทนชั่วโมงแบบ 12 ชั่วโมง โดยมีเลข 0 นำหน้า เช่น 00-12
H แทนชั่วโมงแบบ 24 ชั่วโมง โดยมีเลข 0 นำหน้า เช่น 00-24
g แทนชั่วโมงแบบ 12 ชั่วโมง โดยไม่มี 0 นำหน้า เช่น 0-12
G แทนชั่วโมงแบบ 24 ชั่วโมง โดยไม่มี 0 นำหน้า เช่น 0-24
i แทนค่านาที 00-59
s แทนค่าวินาที่ 00-59
a  แทน am หรือ pm
A แทน AM หรือ PM


ตัวอย่าง
echo date('Y-m-d H:i:s');

// 2011-03-29 08:56:36

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

XMLHttpRequest

-XMLHttpRequest Object ใช้ในการควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Web Browser กับ Web Server โดยที่เอกสารที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน คือ xml
-การใช้ XMLHttpRequest Object
 Web Browser ที่สนับสนุน ActiveX Object เช่น IE

window.ActiveXObject
  
หาก Web Browser ไม่สนับสนุน ActiveX Object เช่น FireFox

window.XMLHttpRequest
 

ตัวอย่าง code xml.php

<!DOCTYPE html PUBLIC "-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd">
<html xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml">
<head>
<meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8" />
<title>Untitled Document</title>
<script type="text/javascript">
var xmlHttp;
    if(window.ActiveXObject){
        xmlHttp = new ActiveXObject("Microsoft.XMLHTTP");
        alert("IE");
    }
    else if(window.XMLHttpRequest){
        xmlHttp = new XMLHttpRequest();
        alert("FireFox");
    }
    else{
        alert("ไม่สามารถสร้าง xmlHttpRequest");
    }
</script>
</head>

<body>
</body>
</html>

ทดสอบด้วย FireFox